จีน-อเมริกา โลกาภิวัตน์ 3.0 ไทยรับมือการค้าเสรีถดถอย

27 กุมภาพันธ์ 2568
จีน-อเมริกา โลกาภิวัตน์ 3.0 ไทยรับมือการค้าเสรีถดถอย
หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง 1 เดือน นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ในยุค Trump 2.0 ชุมนุมทางความคิด-วิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจ การค้าและการเมืองระหว่างประเทศที่จัดจ้านและส่งผลสะเทือนต่อประเทศไทยในหลายมิติ

“ประชาชาติธุรกิจ” จับประเด็นหยิบยกมุมมองความท้าทายในการอัพสปีดเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไทย ว่าจะเดินไปทางใด ท่ามกลางโลกที่โลกาภิวัตน์หดตัวลง ประเทศมหาอำนาจทั้งจีน-อเมริกา พลิกกลับสู่การ “พึ่งพาตน”
จากเวทีเสวนา “เจาะอานิสงส์ ‘ทรัมป์ 2.0’ โอกาส หรือความท้าทาย” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)

ตั้งกำแพงภาษี-โดดเดี่ยวประเทศ
ผศ.ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ในฐานะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.) เปิดประเด็นด้วยการฉายภาพให้เห็นว่า การปรากฏตัวของทรัมป์ในสมัยแรก ไม่ได้เป็นเพียงความปั่นป่วนในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วจบไปเท่านั้น แต่นโยบายหลายอย่างในสมัยทรัมป์ 1.0 ยังมีความต่อเนื่องสืบมาจนสิ้นสุดรัฐบาลไบเดนอีกด้วย ดร.อาร์มชี้ให้เห็นว่า ไบเดนดำเนินนโยบายใกล้เคียงกับทรัมป์ มากกว่าที่จะใกล้เคียงกับบารัก โอบามา นั่นเป็นเพราะว่า ผู้นำสหรัฐทั้งสองคน ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือดึงฐานอุตสาหกรรมในจีนกลับมายังสหรัฐ

เมื่อทรัมป์ 2.0 เริ่มต้น สหรัฐก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางการพึ่งพาตนเอง และนโยบายโดดเดี่ยวประเทศ ทรัมป์ถอนตัวจากความร่วมมือระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก (WHO) ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และยังยกเลิกความช่วยเหลือต่าง ๆ จากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เห็นได้ชัดว่า สหรัฐไม่ต้องการรับบทตำรวจโลกอีกต่อไป และหันมาดำเนินนโยบายตามกรอบ “America First”

มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาไม่ได้แตกต่างจากที่เคยทำในยุคทรัมป์ 1.0 เท่าไรนัก นำมาซึ่งคำถามที่ว่า สงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 จะออกมาเป็นหนังม้วนเดิมหรือไม่

แม้ในยุคทรัมป์ 1.0 การขู่ขึ้นกำแพงภาษีจะถือเป็นเพียงกลยุทธ์ที่สหรัฐใช้บีบให้จีนขึ้นโต๊ะเจรจาเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจบังคับใช้จริง แต่มายุคทรัมป์ 2.0 ทรัมป์เอาจริงแล้ว จากเดิมที่สหรัฐเคยมองว่าถูกจีนเอาเปรียบ คราวนี้สหรัฐมองว่าตัวเองกำลังถูกทุกประเทศเอาเปรียบ และจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกับทุกประเทศ ซึ่งหากประเทศใดต้องการยกเว้นภาษี ประเทศนั้นจะต้องย้ายการผลิตมายังสหรัฐเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

แน่นอนว่าการขึ้นกำแพงภาษีจะต้องกระทบกับภาวะเงินเฟ้อและห่วงโซ่อุปทานการผลิต แต่นั่นจะไม่เป็นปัญหากับสหรัฐเลย เพราะสหรัฐมีนโยบายรองรับผลกระทบของการขึ้นกำแพงภาษี ผ่านการลดภาษีให้กับภาคเอกชนในสหรัฐเอง รวมถึงกดราคาน้ำมันไว้ด้วยการขุดเจาะน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ภาวะเงินเฟ้อไม่กลายเป็นปัญหายุ่งยากให้ต้องรำคาญใจ

Globalization 3.0 ทั่วโลกยากจน
ดร.อาร์มกล่าวว่า โลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนแปลงไป ต่อให้สหรัฐจะกีดกันจีนมากเท่าไร แต่การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยการแข่งขันอันดุเดือด จะทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “DeepSeek Moment” เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราจะเห็นโลกที่แบ่งเป็น K-Shape มากขึ้น ผู้ที่ไล่ตามเทคโนโลยีทันจะเกาะขบวนขาขึ้นได้ ส่วนคนที่ตกขบวนจะต้องร่วงลง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เรียกว่า Globalization 3.0 ซึ่งไม่ใช่โลกาภิวัตน์แบบเดิม ในยุค Globalization 1.0 หลังเข้าร่วม FTA ในปี 2001 จีนปรับบทบาทตัวเองกลายเป็นโรงงานของโลก แต่เมื่อเกิดสงครามการค้าในปี 2018 จีนได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ปรับจากเดิมที่ “Made in China” กลายเป็น “Made by China” ที่เวียดนาม เม็กซิโก และไทย ในยุค Globalization 2.0

ในยุค Globalization 3.0 นี้ จะเป็นโลกาภิวัตน์ที่หดแคบลง สหรัฐจะปิดตัวเองมากขึ้น โฟกัสกับการดึงกำลังการผลิตกลับมายังสหรัฐ เช่นเดียวกันกับจีนที่จะหันมาผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศมากขึ้นเช่นกัน ทั้งจีนและสหรัฐจะพึ่งพาประเทศอื่นน้อยลง ซึ่งแม้จะจนลง แต่เศรษฐกิจจะแข็งแรงขึ้นและพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น

ดร.อาร์มกล่าวว่า Globalization 3.0 ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลต่อสหรัฐและจีน แต่ประเทศที่ต้องกังวลต้องเป็นเหล่าประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องหาหนทางให้ตัวเองสามารถเกาะ K-Shape ที่อยู่ในขาบนของเทคโนโลยีได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องตกอยู่ในขาล่างที่วิ่งไม่ทันใคร

สำหรับประเทศไทย มีความเป็นไปได้ที่จะถูกจีนใช้เป็นฐานการผลิต แต่เป็นการผลิตเพื่อขายในไทยและพื้นที่อาเซียน ซึ่ง ดร.อาร์มให้โจทย์ว่า ไทยจะรับมืออย่างไรให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญ Globalization 3.0 ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบมุ่งเป้า (Target Base)

เอไอเพิ่มผลิตภาพ ความมั่นใจในการพึ่งตนเอง
ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ ViaLink และ Siametrics Consulting พูดถึง “ทรัมป์ 2.0” ในมิติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า “สถานการณ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมที่เคยมองเอไอว่าเป็นระบบที่ใช้จัดการในธนาคาร หรือธุรกิจเทเลคอมเท่านั้น บัดนี้เอไอกลับมีการใช้งานที่แพร่หลายกว่าเดิมอย่างมาก”

นอกจากนี้ เมื่อมองในมิติด้านเศรษฐกิจ ในสมัยแรกที่ทรัมป์เริ่มออกนโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) นำมาซึ่งความแปลกใจแก่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่สหรัฐได้อย่างไร เพราะหากค้าขายไม่ได้ สหรัฐก็มีแต่จะจนลง

แต่แล้วข้อสงสัยดังกล่าวก็เลือนหายไป เมื่อพิจารณาเรื่องการปรับใช้ AI มาทดแทนกำลังแรงงาน จุดนี้เองที่จะเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย จากเดิมที่เคยมั่นใจมาโดยตลอดว่าไทยมีแรงงานราคาถูก เป็นจุดแข็ง แต่ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ของไทยจะหายไป หากสหรัฐและจีนสามารถพัฒนา AI ไปยังจุดที่เรียกว่า AGI หรือก็คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ได้

ไทยเดินทางไหน ในยุคเอไอนำการผลิต
แม้การใช้เอไอแทนที่กำลังคนจะดูเป็นความเสี่ยงที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม ไทยกลับไม่มีกำลังแรงงานให้เอไอแทนที่เลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว ไทยไม่มีแรงงานรุ่นใหม่ทดแทนในตำแหน่งงานบางตำแหน่ง ซึ่งอาจยากเกินไปและไม่มีการเชื่อมโยงกับทางมหาวิทยาลัย จึงทำให้เด็กจบใหม่เข้าไม่ถึง นอกจากนี้การเข้ามาของแรงงานหุ่นยนต์ ยังเป็นโอกาสในการรองรับสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ของไทยอีกด้วย

ดร.ณภัทรย้ำว่า สิ่งสำคัญของไทยคือการเลือกทิศทาง ว่าประเทศต้องการลงทุนในทิศทางที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน หรือก็คือมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบอยู่แล้ว นั่นคือ ภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการต้อนรับ (Hospitality) และอาหาร ยอมรับว่าเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ฟังแล้วอาจไม่ได้ชวนให้รู้สึกว้าว แต่หากจะต้องเลือกทิศทางที่ถูกต้อง ถึงอย่างไร ประเทศไทยก็ต้องมาทางนี้

การค้าโลกเน้น “คู่เจรจา”
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีมุมมองด้านเศรษฐกิจโลกในทางเดียวกับ ดร.อาร์ม แต่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ตึงเครียด กีดกัน ผันผวน กล่าวคือ เมื่อข้อตกลงมีความตึงเครียดในโลก การเจรจาการค้ากลับสู่ห้องเล็ก ๆ มีผลประโยชน์ร่วมเป็นฐานไม่กี่ประเทศ ไม่ใช่เรื่องการค้าของโลกที่มีองค์กรระดับโลกมาช่วยเป็นตัวกลาง

“เมื่อคุณไม่ใช่คู่เจรจา คุณจะถูกกีดกันออกไป นโยบายทรัมป์เปลี่ยนตลอดเวลา ศึกษาวิเคราะห์ได้ไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลง มีความผันผวน การค้ายุคใหม่ไม่จำเป็นต้องคุยกับทุกคน เราคุยแค่กับคนที่มีประโยชน์ด้วย เป็นลักษณะคู่เจรจา”

สิ่งสำคัญคือความแตกต่างทางเศรษฐกิจ ไม่ได้นำไปสู่ K-Shape ธรรมดา แต่เป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน เป็นโลกบนล่าง และเก่าใหม่อย่างชัดเจน

“ดร.สมประวิณ” กล่าวว่า สิ่งแรกที่เรารู้ คือ เศรษฐกิจไทยจะโตช้าแน่ ๆ จากปัจจัยภายนอก-ภายใน จากสิ่งที่ทรัมป์ทำมีสองอย่าง คือ ทำใน กับ ทำนอก ทำในคือการปฏิรูปประเทศ กลับไปกระตุ้นซัพพลาย หรือเพิ่มผลิตภาพ ทำนอกคือการค้าระหว่างประเทศ จีนลดการค้าขายกับ OECD และเพิ่ม Global South ดังนั้นสิ่งที่ทรัมป์ไม่สามารถทำกับจีนได้ จะมาลงที่ประเทศคู่ค้าของจีนแทน

เศรษฐกิจไทยจะโตช้าลง ข้างนอกท้าทาย ข้างในยากขึ้น โตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน เพราะการผลิตเรามีปัญหามายาวนาน ไม่มีตลาดที่เข้าถึง การผลิตเราขึ้นกับอุตสาหกรรมเก่า มีการลงทุนจากญี่ปุ่นมาก และญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงขาลง เราจึงถูกบีบจากภายในจากทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 70% สถาบันการเงินไม่อยากอนุมัติสินเชื่อมากที่สุดในรอบ 10 ปี เงินไม่หมุนในระบบ และแบงก์ก็ไม่อยากให้กู้

เรื่องนอกประเทศ มีความไม่แน่นอน 3 ประการ นโยบายต่างประเทศ ภัยธรรมชาติ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่องเอไอที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะที่ผ่านมา Fake News เพิ่มพันเท่าจากเอไอ เป็นภัยคุกคามจากข้อมูลผิด ๆ กระบวนการตัดสินใจจะผิดพลาด จากข้อมูลที่ผิด

เศรษฐกิจไทยเผชิญขั้วตรงข้าม
ในมุมมองของ ดร.สมประวิน ฉายภาพโลกของเศรษฐกิจไทย เป็นขั้วตรงข้าม คือ ข้างบน-ล่าง, เก่า-ใหม่ และใหญ่-เล็ก

ในขั้วตรงข้ามของสองโลกที่ไม่ใช่ K-Shape ธรรมดา แต่เป็นโลกสองใบที่ขนานกันชัดเจน โลกข้างบนที่มีคนรวยที่มีเศรษฐกิจหมุนเวียนเฉพาะคนรวย ทำบ้านก็ขายตลาดบน คนจนในโลกใบล่าง เป็นวังวนของหนี้สินจะไม่ฟื้นอีก 5 ปี รายได้ไม่พอรายจ่าย

เศรษฐกิจจะเป็น “โครงสร้างธุรกิจเก่า-ใหม่” ธุรกิจเอสเอ็มอี แยกไม่ออกระหว่างการเผชิญปัญหาโครงสร้าง กับปัญหาเศรษฐกิจ กรณีถ้าเศรษฐกิจดี เขาไม่ซื้อ เป็นปัญหาโครงสร้างและพฤติกรรมลูกค้า อย่างเช่น ถ้าเดินไปแผงขายหนังสือซึ่งเป็นธุรกิจเก่า แล้วแม่ค้าขายไม่ดีเลย เพราะเศรษฐกิจแย่ ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องโครงสร้างพฤติกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปแล้ว

อีกส่วนที่สำคัญ คือ ขั้วตรงข้าม “ธุรกิจใหญ่-เล็ก” ผู้ประกอบการรายใหญ่ฟื้นตัว และแข็งแรงกว่า

“เอสเอ็มอีมีกว่า 90% แต่รายได้คิดเป็นแค่ 16% ดังนั้น จีดีพีที่เราเห็นจึงไม่ใช่การเติบโตส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่”

ดังนั้นทางที่ต้องเดินคือ ต้องหาทางเลือกใหม่ ๆ ในภาคธุรกิจ เช่น การหาเครื่องมือทางการเงิน การคลังใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่แค่การลด-เพิ่มดอกเบี้ย หรือแค่ภาษี เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ ด้วย
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.